ดื่มดีทอกซ์ กินง่าย ถ่ายคล่อง CTP Fiberry Detox

 

ดีท็อกซ์แบบใหม่ แค่ชงดื่ม ก็ลดพุงได้ CTP Fiberry Detox (ซีทีพี ไฟเบอร์รี่ ดีท๊อกซ์) ล้างสารพิษลำไส้ รูปแบบใหม่ไม่ต้องกลัวการสวนแบบเดิมๆอีกแล้ว ดื่ม CTP Fiberry Detox ก่อนนอนทุกวันช่วยอะไรได้บ้าง ก็คือช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย ขจัดสิ่งสกปรกของเสีย ที่ตกค้างในลำไส้ให้หมดไป ช่วยเรื่องการขับถ่าย สำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูก ไม่ถ่าย หลังจากรับประทานแล้วถ่ายท้อง ก็จะไม่อ่อนเพลีย ยังอุดมด้วยไฟเบอร์ต่างๆ ปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

วิธีทาน CTP Fiberry Detox เพื่อดีทอกซ์ ลดพุง ถ้าจุดประสงค์ใช้สำหรับล้างสารพิษและช่วยเรื่องขับถ่าย ให้ผสม CTP Fiberry Detox 1 ซอง ผสมน้ำปกติ หรือน้ำเย็นปริมาณ 200 มล. คนให้เข้ากัน รับประทานวันละ 1 ครั้งก่อนนอน ถ้าคนที่ต้องการใช้สำหรับควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วน ให้ผสม CTP Fiberry Detox 1ซอง ผสม น้ำปกติหรือน้ำเย็นปริมาณ 200 มล. คนให้เข้า รับประทานวันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหารเย็น  ดีท็อกซ์ ลดพุง CTP Fiberry Detox มีส่วนประกอบสำคัญใน 1 ซอง คือ

– ใยอาหารจากต้นไซเลี่ยม ฮักส์ สามารถพองตัวได้ถึง 25 เท่าของน้ำหนักตัวเมื่อรับประทานเข้าไปจะพองตัวในกระเพาะอาหารทำให้รู้สึก อิ่มเร็วขึ้น รับประทานอาหารได้น้อยลง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการดูดซับที่ดี ซึ่งช่วยดักจับไขมัน และน้ำดีในระบบทางเดินอาหารซึ่งช่วยลดปริมาณไขมัน

– GARCINIA สารสกัดที่ได้คือ HCA ซึ่งมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเปลี่ยนแป้งไปเป็นน้ำตาล และจากน้ำตาลไปจบลงที่กลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ช่วยให้ไม่หิวบ่อย และยังช่วยลดอาการท้องผูก

– FRUCTO-OLIGOSACCHARIDES จัดเป็นเส้นใยอาหารชนิดที่ละลายน้ำได้ ช่วยลดอาการท้องผูก ทำให้ร่างการสามารถดูดซึมเหล็ก และแคลเซียมเพิ่มขึ้น ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น

– สารสกัด GUAR GUM ซึ่งกระจายตัวได้ในน้ำเย็นเป็นสารละลายหนืด ซึ่งจะเกิดความหนืดเพิ่มขึ้น สามารถดูดน้ำได้รวดเร็ว และให้ความหนืดสูง ดูดซับน้ำ และของเหลวในกระเพาะทำให้ลดความหิวได้

 

รู้ไว้ใช่ว่า..เบาหวานทำให้เกิดอัมพฤกษ์ได้

เราอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่า หากใครที่เป็นโรคเบาหวาน ให้ระวังเรื่องของบาดแผลเอาไว้ เพราะถ้าหากรักษาแผลได้ไม่สะอาดพอ ก็จะทำให้แผลติดเชื้อ ทำให้ต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้งไป แต่จะมีซักกี่คนที่รู้ว่า เจ้าโรคเบาหวานนี่แหล่ะ ก็เป็นอีก 1 ปัจจัยของการเกิดอัมพฤกษ์ได้ เพราะอัมพฤกษ์นั้นเกิดจากการที่สมองของเราขาดเลือดไปเลี้ยง เมื่อสมองของเราขาดอ๊อกซิเจนจนทำให้เนื้อเยื่อสมองตาย ก็จะส่งผลให้เราเป็นอัมพฤกษ์ในทันทีค่ะ

โรคเบาหวานนั้นเกิดจากภาวะที่ร่างกายเราไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของเราสูงขึ้น เพราะหัวใจและหลอดเลือดของเราทำงานหนักเกินไป….แต่เอ.. แล้วเบาหวานเกี่ยวข้องอะไรกับอัมพฤกษ์ล่ะ? นั่นก็เป็นเพราะว่า เมื่อหลอดเลือดของเราทำงานหนักขึ้น ก็จะทำให้หลอดเลือดของเราอ่อนแอ ส่งผลให้เรามีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดมากกว่าคนปกติถึง 6 เท่า นั่นก็หมายความว่า กลไกการเกิดภาวะของโรคหลอดเลือดสมองที่ส่งผลให้เราอาจเป็นอัมพฤกษ์ได้ นั้นมาจากความดันโลหิตสูง ที่จะทำให้เราเกิดภาวะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง จนกลายเป็นอัมพฤกษ์ได้นั่นเองค่ะ

 

แล้วทำอย่างไร เราถึงจะห่างไกลจากความเสี่ยงเหล่านี้ได้ วิธีที่ดีที่สุดการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากอัมพฤกษ์ นั่นก็คือการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย นั่นเองค่ะ ซึ่งถึงแม้ว่าโรคเบาหวานอาจจะมีปัจจัยมาจากกรรมพันธุ์ของเราด้วยก็ตาม แต่ถ้าหากเราควบคุมอาหารและหมั่นออกกำลังกาย ก็จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอัมพฤกษ์ได้

ดื่มน้ำ..สำคัญอย่างไร

 

เราเคยเรียนรู้ประโยชน์ของน้ำในห้องเรียนกันมาแล้วว่าน้ำมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรและถ้าอดน้ำ เราจะเสียชีวิตภายใน 2–3 วัน เพราะ น้ำมีประโยชน์มากมายแก่ร่างกายของสิ่งมีชีวิตชนิด และกว่า 90% ของคนทั่วไปมักไม่ใส่ใจกับการดื่มน้ำ

ทุกเซลล์ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต ล้วนประกอบด้วยน้ำทั้งนั้น ซึ่งในเซลล์มนุษย์อย่างเราๆ มีน้ำประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำหนักร่างกาย ทำหน้าที่ขนส่งอาหารและออกซิเจนให้แก่เซลล์ เป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย เช่น การย่อยอาหาร กระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย หากมีความผิดปกติของการถ่ายอุจจาระเกิดขึ้น ก็จะมีเชื้อโรคที่สร้างสารพิษที่มีผลต่อกลไกการควบคุมสมดุลภายในลำไส้ ซึ่งน้ำจะช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายของเรา อีกทั้งยังช่วยรักษาระดับความเป็นกรดด่างของเลือดและของเหลวต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งนับว่าเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก เมื่อเลือดและเส้นเลือดของเราอยู่ในสภาพแข็งแรง ก็จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นอัมพฤกษ์ได้ เพราะฉะนั้น เราจึงควรพยายามดื่มน้ำให้เป็นนิสัย โดยต้องดื่มน้ำให้ได้ไม่น้อยกว่า 2.7 ลิตร / วัน  ลองสังเกตดูปัสสาวะของเราดูสิคะ ว่ามีสีอะไร ถ้าหากสีปัสสาวะมีสีเหลือจางๆ สีใส ก็ถือว่าอยู่ในระดับปกติค่ะ

หวังว่าทุกคนคงจะฝึกให้เป็นความเคยชิน ถึงเเม้บางครั้งเราจะไม่กระหายน้ำก็ตาม ที่สำคัญ ควรลดการดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม หันไปดื่มน้ำเปล่าในอุณหภูมิห้องเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ห่างไกลจากปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เราเป็นอัมพฤกษ์ได้